วันพุธที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2561

นกที่ใกล้สูญพันธุ์





1.นกช้อนหอยหงอน 





นกช้อนหอยหงอน (Asian crested ibis) หรือ นิปโปเนีย นิปปอน (Nipponia nippon) ซึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดภาพถ่ายในหมวดนกชนิดใกล้สูญพันธุ์ เมื่อก่อนเคยมีอยู่ทั่วรัสเซีย ญี่ปุ่น และจีน แต่ปัจจุบันประชากรของนกชนิดนี้ได้ลดลงเหลือราว 250 ตัว ในมณฑลส่านซีของจีนเท่านั้น เนชันนัลจีโอกราฟิกอ้างข้อมูลจากเว็บไซต์โครงการนกหายากของโลกว่า ปัจจัยคุกคามนกชนิดนี้อาจมาจากการทำเกษตรกรรม ซึ่งลดปริมาณอาหารของนกชนิดนี้: ภาพโดย เฉวียน หมิน หลี (Quan Min Li)


2.นกกระเรียนมงกุฎแดง






ภาพนกกระเรียนมงกุฎแดง (Red-crowned crane) เป็นภาพรองชนะเลิศในหมวดนกชนิดใกล้สูญพันธุ์ โดยนกกระเรียนในภาพนี้กำลังแสดงท่าทางเกี้ยวพาราสีระหว่างหาคู่ แม้ว่าประชากรของนกชนิดนี้ในญี่ปุ่นจะยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่ประชากรทั่วเอเชียซึ่งเป็นพื้นส่วนใหญ่กำลังลดลงไปตามถิ่นอาศัยที่ลดลง รวมถึงการสูญเสียพื้นที่ชุ่มน้ำไปเพื่อการเกษตรและการพัฒนา: ภาพโดย ฮัวจิน ซัน (Huajin Sun)


3.นกแก้วท้องส้ม






นกแก้วท้องส้ม (Orange-Bellied Parrot) ที่ชนะเลิศในหมวดนกอพยพที่วิกฤตต่อการสูญพันธุ์ นกแก้วพันธุ์เล็กชนิดนี้จะผสมพันธุ์เฉพาะทางตะวันตกเฉียงใต้ของทาสมาเนีย เท่านั้น จากนั้นจะอพยพไปทางตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลียในช่วงฤดูหนาว ซึ่งถิ่นที่อยู่ระหว่างหนีหนาวของนกชนิดนี้ถูกบุกรุกจากการเกษตรและการพัฒนา ประมาณว่าเหลือนกแก้วท้องส้มอยู่ในธรรมชาติน้อยกว่า 150 ตัว: ภาพโดย เดวิด บอยล์ (David Boyle)


4.นกปาลิลา





นกปาลิลา (Palila) ในฮาวาย ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ ในหมวดนกที่วิกฤตต่อการสูญพันธุ์หรือสูญพันธุ์จากธรรมชาติ ปัจจัยจากการสูญเสียถิ่นที่อยู่ การล่าโดยสัตว์ตระกูลแมวและความแห้งแล้งนำไปสู่การลดลงของประชากรนกชนิดนี้ ในฮาวาย คาดว่าในอีก 14 ปีข้างหน้าจำนวนนกชนิดนี้จะลดลงถึง 97% : ภาพโดย อีริค เอ.แวนเดอร์เวิร์ฟ Eric A. VanderWerf


5.นกฮัมมิงเบิร์ดหางติ่ง





นกฮัมมิงเบิร์ดหางติ่ง (Marvellous Spatuletail) ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 3 ในหมวดนกชนิดใกล้สูญพันธุ์หรือไม่มีข้อมูลไม่เพียงพอ ประมาณกันว่าเหลือนกชนิดนี้ไม่ถึงพันตัว และการลดลงของประชากรนกสวยงามนี้เป็นผลจากการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อปลูกกัญชา และกาแฟ : ภาพโดย แดเนียล โรสเอนเกรน (Daniel Rosengren) ภาพประกอบทั้งหมดจากเนชันนัลจีโอกราฟิก


6.นกกาบบัว





นกกาบบัวเคยพบได้ง่ายๆตามหนองบึง ท้องทุ่ง ทั่วบริเวณภาคกลางไปจนถึงบริเวณภาคใต้ … ปัจจุบัน นกกาบบัวพบเห็นได้ไม่บ่อย และส่วนใหญ่จะเป็นนกอพยพย้ายถิ่นเข้ามา แต่สถานะของนกชนิดนี้ยังคงเป็นนกประจำถิ่น เพราะยังมีพื้นที่ให้พวกมันสร้างรังวางไข่เป็นแหล่งสุดท้ายที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง แต่ต้นเที้ยและต้นเสม็ดที่สูงใหญ่แข็งแรงพอที่จะให้นกขนาดใหญ่ชนิดนี้ทำรังวางไข่ก็ถูกตัดโค่นลงเกือบหมด



7.นกกระสานวล




นกกระสานวลเป็นนกยางขนาดใหญ่และคอยาว ลำตัวสีเทา มีแถบสีดำที่กระหม่อมพาดยาวต่อเนื่องเป็นขนเปียที่ท้ายทอย คอมีลายขีดสีดำเรียงเป็นแถว หัวและลำตัวด้านล่างสีขาวนวล ขนปีกสีดำขลับนั้นเห็นได้ชัดขณะบิน จงอยปากจะมีสีเหลืองสดขึ้นในชุดขนฤดูผสมพันธุ์ นกโตไม่เต็มวัยมีขนสีดำจางกว่าและมีสีขาวน้อยกว่า นอกจากนี้จงอยปากบนก็มีสีเทาหม่นๆ ตัดกับปากล่างสีเหลืองมันมีแหล่งกระจายพันธุ์กว้างขวางมาก พบได้ทั่วไปในทวีปยุโรป แอฟริกา และเอเชีย ขณะหากินมักเดินท่องในน้ำช้าๆ หรือยืนอยู่นิ่งๆ รอจับเหยื่อ อาหารส่วนใหญ่คือสัตว์น้ำ แต่ก็มีรายงานว่าจับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและนกขนาดตัวพอๆ กับนกพิราบมากดน้ำจนแน่นิ่ง ก่อนที่จะกลืนลงกระเพาะผ่านลำคอที่ผอมแต่ยืดหยุ่นของมันด้วย 


8.นกตะกราม




นกตะกรามเป็นนกกระสาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย ซึ่งเป็นทวีปเดียวที่มีชนิดใกล้สูญพันธุ์ (endangered) ระดับโลก แถมยังมีถึง 4 ชนิด โดยมีนกตะกรามเป็นหนึ่งในนั้น ลักษณะเด่นของมันคือ“ถุง”ที่เป็นหนังเปลือยเปล่าห้อยอยู่ใต้คอคล้ายเป็นโรคคอหอยพอก หัวมีขนขึ้นหรอมแหรม มีจะงอยปากใหญ่และหนา อาหารหลักคือสัตว์น้ำและซากสัตว์นกตะกรามมันมีหน้าตาและเชื้อสายใกล้เคียงกับ Marabou ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา แต่ทางสวนสัตว์ซาฟารีเวิลด์ได้มีการนำมาปล่อยให้บินหากินอิสระ บ่อยครั้งจึงสร้างความสับสนกับนกตะกรามให้แก่นักดูนกที่พบเห็น หากสังเกตดี ๆ สามารถจำแนกชนิดได้จากปีกที่มีแถบสีเทาอ่อนไม่เยอะเท่านกตะกราม หนังเปลือยที่หัวและคอเป็นสีชมพูล้วนโดยไม่มีสีเหลืองที่คอ และมีม่านตาสีเข้มเสมอ ต่างจากนกตะกรามซึ่งมีม่านตาสีอ่อน


9.นกช้อนหอยขาว





นกช้อนหอยขาว หรือรู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า นกกุลา สำหรับเมืองไทย นกกุลาเคยเป็นนกประจำถิ่นที่พบทั่วไปในที่ราบลุ่มภาคกลาง แต่ภัยคุกคามจากการโดนล่า รวมทั้งแหล่งหากินและทำรังวางไข่ถูกทำลาย มันจึงหายสาบสูญไปจากแหล่งทำรังในอดีต โดยไม่พบหลักฐานการทำรังวางไข่มากว่า 60 ปีแล้ว ที่พบเห็นในปัจจุบันส่วนใหญ่คาดว่าเป็นนกอพยพนอกฤดูผสมพันธุ์ อย่างไรก็ตาม บางแห่งมีรายงานการพบตลอดทั้งปี จึงเป็นไปได้ว่าอาจยังเหลือประชากรเล็กๆ ทำรังในไทยอยู่ แม้จะชื่อนกช้อนหอย แต่มันก็กินอาหารได้หลากหลายประเภท ปกติจะใช้ปากที่โค้งยาวจิ้มหาสัตว์ตามหน้าดินในแหล่งน้ำตื้นๆ มันเป็นนกช้อนหอยชนิดเดียวในไทยที่มีลำตัวสีขาว นกโตเต็มวัยมีหัวล้านสีดำสนิทสมกับชื่อ Black-headed Ibis และมีแถบสีแดงที่บริเวณใต้ปีก นกบางตัวมีแต้มสีแดงที่ท้ายทอยด้วย ส่วนนกวัยเด็กจะมีหัวสีเทาและยังคงมีขนปกคลุมหัว ความเข้มของสีหัวจะแปรผันตามอายุที่มากขึ้นในแถบภาคกลางตอนล่างจะพบนกอีกชนิดหนึ่งที่มีหน้าตาคล้ายกับนกกุลา ชื่อว่า African Sacred Ibis ต่างกันตรงที่มันมีขนคลุมโคนหางสีดำ และมีแถบสีดำที่แนวขนปีกด้านหลัง นกต่างถิ่นที่ปรับตัวเก่งกาจชนิดนี้ถูกนำเข้ามาปล่อยในสวนสัตว์เปิดและขยายพันธุ์นอกกรงได้ บางครั้งพบหากินปะปนกับนกกุลาด้วย



10.นกกระแสแดง





เป็นนกน้ำในตระกูล Ardeidae มีถิ่นผสมพันธุ์อยู่ในแอฟริกา ยุโรปตอนกลางและตอนใต้ เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออก กลุ่มที่อาศัยอยู่ในยุโรปจะอพยพลงสู่เขตร้อนในแอฟริกาในฤดูหนาว ส่วนกลุ่มที่อาศัยอยู่ในเอเชียก็จะมีการอพยพลงใต้ภายในทวีปเช่นกัน จัดว่าเป็นนกที่หายาก แต่เวลาที่อพยพจะพบเห็นได้บ่อยในภูมิภาคทางตอนเหนือของถิ่นผสมพันธุ์นกชนิดนี้จัดเป็นนกขนาดใหญ่ โดยมีความสูง 80-90 เซนติเมตร ความกว้างของปีกสองข้าง 120-150 เซนติเมตร แต่มีลำตัวผอมบาง มีน้ำหนักเพียง 500-1,300 กรัมเท่านั้น มีลักษณะใกล้เคียงกับนกกระสานวล แต่ขนาดค่อนข้างเล็กกว่า และมีสีขนที่แตกต่างกัน โดยนกกระสาแดงจะมีขนสีน้ำตาลแดงเข้ม และเมื่อโตเต็มวัย ขนที่หลังจะเป็นสีเทาเข้มขึ้น จงอยปากมีสีเหลืองและแคบบาง ซึ่งในตัวเต็มวัยจะมีสีสว่างขึ้น


แหล่งข้อมูล

ที่มา https://sites.google.com/site/nongjuen007/nk-ha-yak-thisud-ni-lok

ที่มาhttp://www.bedo.or.th/lcdb/biodiversity/view2.aspx?id=11354




             

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นกที่ใกล้สูญพันธุ์

1.นกช้อนหอยหงอน  นกช้อนหอยหงอน ( Asian crested ibis) หรือ นิปโปเนีย นิปปอน ( Nipponia nippon) ซึ่งได้รับรางวัลชนะเ...