1.นกช้อนหอยหงอน
นกช้อนหอยหงอน (Asian crested ibis) หรือ นิปโปเนีย นิปปอน (Nipponia
nippon) ซึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดภาพถ่ายในหมวดนกชนิดใกล้สูญพันธุ์
เมื่อก่อนเคยมีอยู่ทั่วรัสเซีย ญี่ปุ่น และจีน
แต่ปัจจุบันประชากรของนกชนิดนี้ได้ลดลงเหลือราว 250 ตัว
ในมณฑลส่านซีของจีนเท่านั้น
เนชันนัลจีโอกราฟิกอ้างข้อมูลจากเว็บไซต์โครงการนกหายากของโลกว่า
ปัจจัยคุกคามนกชนิดนี้อาจมาจากการทำเกษตรกรรม ซึ่งลดปริมาณอาหารของนกชนิดนี้:
ภาพโดย เฉวียน หมิน หลี (Quan Min Li)
2.นกกระเรียนมงกุฎแดง
ภาพนกกระเรียนมงกุฎแดง (Red-crowned crane) เป็นภาพรองชนะเลิศในหมวดนกชนิดใกล้สูญพันธุ์ โดยนกกระเรียนในภาพนี้กำลังแสดงท่าทางเกี้ยวพาราสีระหว่างหาคู่ แม้ว่าประชากรของนกชนิดนี้ในญี่ปุ่นจะยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่ประชากรทั่วเอเชียซึ่งเป็นพื้นส่วนใหญ่กำลังลดลงไปตามถิ่นอาศัยที่ลดลง รวมถึงการสูญเสียพื้นที่ชุ่มน้ำไปเพื่อการเกษตรและการพัฒนา: ภาพโดย ฮัวจิน ซัน (Huajin Sun)
3.นกแก้วท้องส้ม
นกแก้วท้องส้ม (Orange-Bellied Parrot) ที่ชนะเลิศในหมวดนกอพยพที่วิกฤตต่อการสูญพันธุ์
นกแก้วพันธุ์เล็กชนิดนี้จะผสมพันธุ์เฉพาะทางตะวันตกเฉียงใต้ของทาสมาเนีย เท่านั้น
จากนั้นจะอพยพไปทางตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลียในช่วงฤดูหนาว
ซึ่งถิ่นที่อยู่ระหว่างหนีหนาวของนกชนิดนี้ถูกบุกรุกจากการเกษตรและการพัฒนา
ประมาณว่าเหลือนกแก้วท้องส้มอยู่ในธรรมชาติน้อยกว่า 150 ตัว:
ภาพโดย เดวิด บอยล์ (David Boyle)
4.นกปาลิลา
นกปาลิลา (Palila) ในฮาวาย ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 6 ในหมวดนกที่วิกฤตต่อการสูญพันธุ์หรือสูญพันธุ์จากธรรมชาติ ปัจจัยจากการสูญเสียถิ่นที่อยู่ การล่าโดยสัตว์ตระกูลแมวและความแห้งแล้งนำไปสู่การลดลงของประชากรนกชนิดนี้ ในฮาวาย คาดว่าในอีก 14 ปีข้างหน้าจำนวนนกชนิดนี้จะลดลงถึง 97% : ภาพโดย อีริค เอ.แวนเดอร์เวิร์ฟ Eric A. VanderWerf
5.นกฮัมมิงเบิร์ดหางติ่ง
นกฮัมมิงเบิร์ดหางติ่ง (Marvellous Spatuletail) ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 3
ในหมวดนกชนิดใกล้สูญพันธุ์หรือไม่มีข้อมูลไม่เพียงพอ
ประมาณกันว่าเหลือนกชนิดนี้ไม่ถึงพันตัว
และการลดลงของประชากรนกสวยงามนี้เป็นผลจากการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อปลูกกัญชา และกาแฟ
: ภาพโดย แดเนียล โรสเอนเกรน (Daniel Rosengren) ภาพประกอบทั้งหมดจากเนชันนัลจีโอกราฟิก
6.นกกาบบัว
นกกาบบัวเคยพบได้ง่ายๆตามหนองบึง
ท้องทุ่ง ทั่วบริเวณภาคกลางไปจนถึงบริเวณภาคใต้ … ปัจจุบัน
นกกาบบัวพบเห็นได้ไม่บ่อย และส่วนใหญ่จะเป็นนกอพยพย้ายถิ่นเข้ามา
แต่สถานะของนกชนิดนี้ยังคงเป็นนกประจำถิ่น เพราะยังมีพื้นที่ให้พวกมันสร้างรังวางไข่เป็นแหล่งสุดท้ายที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย
จังหวัดพัทลุง
แต่ต้นเที้ยและต้นเสม็ดที่สูงใหญ่แข็งแรงพอที่จะให้นกขนาดใหญ่ชนิดนี้ทำรังวางไข่ก็ถูกตัดโค่นลงเกือบหมด
7.นกกระสานวล
นกกระสานวลเป็นนกยางขนาดใหญ่และคอยาว
ลำตัวสีเทา มีแถบสีดำที่กระหม่อมพาดยาวต่อเนื่องเป็นขนเปียที่ท้ายทอย
คอมีลายขีดสีดำเรียงเป็นแถว หัวและลำตัวด้านล่างสีขาวนวล ขนปีกสีดำขลับนั้นเห็นได้ชัดขณะบิน
จงอยปากจะมีสีเหลืองสดขึ้นในชุดขนฤดูผสมพันธุ์
นกโตไม่เต็มวัยมีขนสีดำจางกว่าและมีสีขาวน้อยกว่า
นอกจากนี้จงอยปากบนก็มีสีเทาหม่นๆ ตัดกับปากล่างสีเหลืองมันมีแหล่งกระจายพันธุ์กว้างขวางมาก
พบได้ทั่วไปในทวีปยุโรป แอฟริกา และเอเชีย ขณะหากินมักเดินท่องในน้ำช้าๆ
หรือยืนอยู่นิ่งๆ รอจับเหยื่อ อาหารส่วนใหญ่คือสัตว์น้ำ
แต่ก็มีรายงานว่าจับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและนกขนาดตัวพอๆ
กับนกพิราบมากดน้ำจนแน่นิ่ง
ก่อนที่จะกลืนลงกระเพาะผ่านลำคอที่ผอมแต่ยืดหยุ่นของมันด้วย
8.นกตะกราม
นกตะกรามเป็นนกกระสาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย
ซึ่งเป็นทวีปเดียวที่มีชนิดใกล้สูญพันธุ์ (endangered) ระดับโลก แถมยังมีถึง 4 ชนิด
โดยมีนกตะกรามเป็นหนึ่งในนั้น
ลักษณะเด่นของมันคือ“ถุง”ที่เป็นหนังเปลือยเปล่าห้อยอยู่ใต้คอคล้ายเป็นโรคคอหอยพอก
หัวมีขนขึ้นหรอมแหรม มีจะงอยปากใหญ่และหนา อาหารหลักคือสัตว์น้ำและซากสัตว์นกตะกรามมันมีหน้าตาและเชื้อสายใกล้เคียงกับ
Marabou ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา
แต่ทางสวนสัตว์ซาฟารีเวิลด์ได้มีการนำมาปล่อยให้บินหากินอิสระ
บ่อยครั้งจึงสร้างความสับสนกับนกตะกรามให้แก่นักดูนกที่พบเห็น หากสังเกตดี ๆ
สามารถจำแนกชนิดได้จากปีกที่มีแถบสีเทาอ่อนไม่เยอะเท่านกตะกราม
หนังเปลือยที่หัวและคอเป็นสีชมพูล้วนโดยไม่มีสีเหลืองที่คอ และมีม่านตาสีเข้มเสมอ
ต่างจากนกตะกรามซึ่งมีม่านตาสีอ่อน
9.นกช้อนหอยขาว
นกช้อนหอยขาว
หรือรู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า นกกุลา สำหรับเมืองไทย
นกกุลาเคยเป็นนกประจำถิ่นที่พบทั่วไปในที่ราบลุ่มภาคกลาง แต่ภัยคุกคามจากการโดนล่า
รวมทั้งแหล่งหากินและทำรังวางไข่ถูกทำลาย มันจึงหายสาบสูญไปจากแหล่งทำรังในอดีต
โดยไม่พบหลักฐานการทำรังวางไข่มากว่า 60 ปีแล้ว ที่พบเห็นในปัจจุบันส่วนใหญ่คาดว่าเป็นนกอพยพนอกฤดูผสมพันธุ์
อย่างไรก็ตาม บางแห่งมีรายงานการพบตลอดทั้งปี
จึงเป็นไปได้ว่าอาจยังเหลือประชากรเล็กๆ ทำรังในไทยอยู่ แม้จะชื่อนกช้อนหอย
แต่มันก็กินอาหารได้หลากหลายประเภท ปกติจะใช้ปากที่โค้งยาวจิ้มหาสัตว์ตามหน้าดินในแหล่งน้ำตื้นๆ
มันเป็นนกช้อนหอยชนิดเดียวในไทยที่มีลำตัวสีขาว
นกโตเต็มวัยมีหัวล้านสีดำสนิทสมกับชื่อ Black-headed
Ibis และมีแถบสีแดงที่บริเวณใต้ปีก
นกบางตัวมีแต้มสีแดงที่ท้ายทอยด้วย
ส่วนนกวัยเด็กจะมีหัวสีเทาและยังคงมีขนปกคลุมหัว ความเข้มของสีหัวจะแปรผันตามอายุที่มากขึ้นในแถบภาคกลางตอนล่างจะพบนกอีกชนิดหนึ่งที่มีหน้าตาคล้ายกับนกกุลา
ชื่อว่า African Sacred Ibis ต่างกันตรงที่มันมีขนคลุมโคนหางสีดำ
และมีแถบสีดำที่แนวขนปีกด้านหลัง
นกต่างถิ่นที่ปรับตัวเก่งกาจชนิดนี้ถูกนำเข้ามาปล่อยในสวนสัตว์เปิดและขยายพันธุ์นอกกรงได้
บางครั้งพบหากินปะปนกับนกกุลาด้วย
10.นกกระแสแดง
เป็นนกน้ำในตระกูล Ardeidae มีถิ่นผสมพันธุ์อยู่ในแอฟริกา
ยุโรปตอนกลางและตอนใต้ เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออก
กลุ่มที่อาศัยอยู่ในยุโรปจะอพยพลงสู่เขตร้อนในแอฟริกาในฤดูหนาว
ส่วนกลุ่มที่อาศัยอยู่ในเอเชียก็จะมีการอพยพลงใต้ภายในทวีปเช่นกัน
จัดว่าเป็นนกที่หายาก
แต่เวลาที่อพยพจะพบเห็นได้บ่อยในภูมิภาคทางตอนเหนือของถิ่นผสมพันธุ์นกชนิดนี้จัดเป็นนกขนาดใหญ่
โดยมีความสูง 80-90 เซนติเมตร ความกว้างของปีกสองข้าง 120-150 เซนติเมตร
แต่มีลำตัวผอมบาง มีน้ำหนักเพียง 500-1,300 กรัมเท่านั้น
มีลักษณะใกล้เคียงกับนกกระสานวล แต่ขนาดค่อนข้างเล็กกว่า และมีสีขนที่แตกต่างกัน
โดยนกกระสาแดงจะมีขนสีน้ำตาลแดงเข้ม และเมื่อโตเต็มวัย
ขนที่หลังจะเป็นสีเทาเข้มขึ้น จงอยปากมีสีเหลืองและแคบบาง
ซึ่งในตัวเต็มวัยจะมีสีสว่างขึ้น
แหล่งข้อมูล
ที่มา https://sites.google.com/site/nongjuen007/nk-ha-yak-thisud-ni-lok
ที่มาhttp://www.bedo.or.th/lcdb/biodiversity/view2.aspx?id=11354
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น